สวัสดีครับ... Mister J กลับมาอีกครั้งครับ
ท่ามกลางกระแสข่าวใหญ่ที่สะเทือนมนุษย์เงินเดือน เมื่อมีการประกาศจากธนาคารยักษ์ใหญ่ของไทยอย่าง "กสิกรไทย" หรือ KBANK ที่เปิดให้พนักงานอายุ 45 ปีขึ้นไปได้เกษียณก่อนอายุนั้น มีทั้งคนที่วาดฝันถึงอิสรภาพ และคนที่หวาดกลัวความไม่มั่นคง
แต่วันนี้... เราจะไม่ได้มาคุยกันเรื่องแผนการเกษียณในอนาคตครับ แต่เราจะมาฟังเรื่องเล่าจาก "ทหารผ่านศึก" ผู้ที่เคยเผชิญหน้ากับสถานการณ์นั้นจริงๆ... ชายผู้ที่เคย "ตกงาน" ในวัย 45 ปี ในช่วงเวลาที่มืดมนที่สุดของเศรษฐกิจไทยอย่างวิกฤตต้มยำกุ้ง
ผมกำลังพูดถึง ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ปรมาจารย์นักลงทุน VI ของเมืองไทย ที่จะมาเล่าประสบการณ์ตรงที่เปลี่ยนชีวิต จากจุดที่เคยเป็นรองกรรมการผู้จัดการสู่การเป็น "คนตกงาน" และมันกลายเป็น "โชคดีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต" ของเขาได้อย่างไร
นี่คือบทเรียนที่เขียนด้วยประสบการณ์จริง... ที่อาจจะ "ขม" แต่มีค่ามหาศาล และอาจเป็นเข็มทิศที่สำคัญที่สุดสำหรับคนทำงานในยุคนี้... เชิญครับ
อายุ 45 ปี เกษียณหรือตกงาน
เขียนโดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ปี 2540 ซึ่งเป็นปีที่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจ “ต้มยำกุ้ง” ผมมีอายุ 44-45 ปี บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ที่ผมทำงานในตำแหน่งรองกรรมการผู้จัดการอยู่ กำลังล่มสลาย ผมถูกให้ออกจากงานที่มีความมั่นคง เงินเดือนสูง และมีโอกาสเติบโตอย่างรวดเร็ว
ก่อนถึงวันนั้น ผมไม่เคยคิดว่าจะต้อง “ตกงาน” เพราะถูกให้ออก ผมคิดว่าผมคงจะอยู่ไปเรื่อย ๆ จนถึงวันเกษียณที่อายุ 60 ปี และมีเงินเก็บหรือเงินออม รวมถึงเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่บริษัทจัดให้เพียงพอสำหรับการดำรงชีวิตถึงอายุสัก 80 ปี แม้ว่าในวันนั้นผมยังไม่เคยคิดถึงการมี “เงินเพื่อการเกษียณ” เลยก็ตาม แต่เมื่อถูกให้ออกจากงาน ผมถึงได้รู้ซึ้งว่า เงินเดือนและโบนัสที่เคยได้ มันไม่ใช่ “เงินเพื่อการเกษียณ” แต่เป็นเพียงเงินรางวัลของคนทำงานในวันนี้ เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ยังไม่มีใครมี “แผน” ที่จะจัดการเรื่องเงินเพื่ออนาคตนั้นในประเทศไทย
อายุเพิ่งจะ 40 ต้นกว่า ถ้าพูดถึงวันที่จะเกษียณก็คงเป็นคนที่ไม่มีความหายอดทนหรือมีพลังในการที่จะทำงานหาเงินเพื่อความมั่งคั่งพอ คนอายุเลข 4 นี้ เป็นช่วงที่เรียกว่า “Prime” ที่สุดของชีวิต เพราะมีความรู้และประสบการณ์เพียงพอที่จะทำงานสำคัญที่สุดของกิจการหรือบริษัท เป็นช่วงที่มีพลังและความทะเยอทะยานสูงสุดในชีวิต และแน่นอนว่าเป็นช่วงเวลาที่ทำเงินได้สูงสุดในฐานะคนขายแรงงาน ในช่วงเวลานั้น
แต่อายุ 45 กลับเป็นเวลาที่ผม “ตกงาน” และโอกาสที่จะหางานที่ดีๆ ที่มีเงินเดือนเพิ่มแทบไม่มี เงินเก็บออมมีน้อยนิด ไม่มีกระทั่งจะใช้ชีวิตในครอบครัวที่มีระดับการศึกษาไม่ได้มีเงินเดือนและรายได้เพียงพอจากการลงทุนทางการเงินที่สร้างผลตอบแทนได้อย่างที่คิด แต่กลับได้รู้ว่าในเวลาที่ไม่มีงานทำ ไม่มีรายได้ และครอบครัวอาจจะต้องเปลี่ยนแปลงถึงขนาดจะต้อง “เกษียณก่อนกำหนด” อย่างไม่ตั้งใจ
โชคดีที่ผมได้งานใหม่อย่างรวดเร็วแม้ว่าจะเป็นงานที่ไม่ได้มีความหมายอะไรมากไปกว่างานชั่วคราว ซึ่งทำให้ผมมีเวลาคิดและสะสมสิ่งที่ผมเรียกมันว่า “ชีวิตใหม่” ของผม นั่นก็คือ “การลงทุนในความรู้” ผมกลับไปเรียนหนังสือใหม่ในชั้นเรียนที่เกี่ยวกับการเงิน การลงทุนและการบริหารธุรกิจ จากนั้นก็นำสิ่งที่เรียนรู้ไปบรรยายให้กับ “คนทำ” และ “คนเกษียณ” ทั้งหลาย ได้ตระหนักว่า “เงินเดือน” ที่เคยได้รับนั้นไม่ใช่เงินออมเพื่อการเกษียณเลย แต่เป็นเพียง “เงินใช้วันนี้” ซึ่งวันหนึ่งมันจะหมดไป บริษัทและกิจการที่ว่า “มั่นคง” ก็อาจจะล่มสลายได้ “มั่งคั่ง” เหลือเกิน
ผมคงไม่ต้องบอกว่า การประสบกับปัญหาชีวิตที่ต้องตกงานที่อายุ 44 ปี ครั้งนั้น เป็นโชคดีที่ยิ่งใหญ่แค่ไหนของผม ชีวิตผมเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นทุกทาง ความมั่งคั่งเพิ่มขึ้น “เหนือจินตนาการ” ความสุขเพิ่มขึ้น “เต็มศักยภาพ” เพราะมีความมั่นคงในชีวิตและเงินมากพอที่จะซื้อความสุขบางอย่างที่ซื้อได้ และซื้อความสะดวกสบายที่ช่วยลดความทุกข์หลาย ๆ อย่างลงไป
ผมยังทำงานเป็นลูกจ้างต่อไปอีกประมาณ 7-8 ปี จนอายุ 51-52 ปี ถึง “เกษียณ” ตัวเองจากงานประจำมาเป็น “นักลงทุน” เต็มตัวในวันที่มีเงินมากพอแล้ว ซึ่งไม่ใช่เงิน 200-250 เท่าของรายจ่ายต่อปีอย่างที่ตำราบอกเอาไว้ แต่เป็นการเก็บเงินและสร้างทรัพย์สินอย่างค่อยเป็นค่อยไปด้วยความรู้ ความเข้าใจ และความสามารถของตัวเอง โดยมีผลตอบแทนที่เป็น Passive Income เพิ่มขึ้นจนเพียงพอที่จะอยู่ได้โดยไม่ต้องทำงานประจำอีกต่อไป การเกษียณของผมในครั้งนั้นไม่ใช่เพราะไม่มีงานทำหรือถูกเลิกจ้าง แต่เป็นเพราะผมมีเงินพอเพียงและมีความมั่นใจว่าจะอยู่ได้โดยไม่ต้องทำงาน
ความคิดและความเห็นของผมสำหรับการ “เกษียณก่อนกำหนด” ก็คือ เราควรจะสร้างเงินจาก Passive Income หรือรายได้ที่สามารถเลี้ยงตัวเองและครอบครัวในแต่ละปีอย่างพอเพียง หรืออย่างน้อยก็ทำให้มีเงินมากพอที่จะเลี้ยงตัวเองอยู่ได้ สมมุติว่ารายจ่ายทั้งปีอยู่ที่ 1 ล้านบาท ก็ควรจะมีรายได้จาก 2-3 ทาง โดยที่การคำนวณต้องเป็นจริงตามความสามารถของเราจริง ๆ เช่น
ถ้าเป็นพอร์ตหุ้น รายได้จากการลงทุนต่อปีไม่ควรจะเกิน 5% ต่อปี พันธบัตรและหุ้นกู้ ไม่ควรเกิน 3% และเงินฝากก็ไม่เกิน 1% ส่วนสินทรัพย์อื่นที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้เช่น ทองและที่ดินหรือบ้านที่ไม่ได้ให้เช่า ผลตอบแทนก็คือ 0% ส่วนอสังหาริมทรัพย์ให้เช่าก็นับว่ามีเป็นจริงว่ามีรายได้เท่าไรต่อปีในอดีตที่ผ่านมา และก็ค่อยไปเชื่อหรือใช้ตัวเลขของคนที่ “ขายบริการบริหารเงิน” ที่มักจะบอกว่าหุ้นให้ผลตอบแทนเท่ากับ 10% ในระยะยาว เพราะสถิติไม่น้อยกว่า 10 ปีที่ผ่านมาโดยเฉพาะในตลาดหุ้นไทยนั้น ผลตอบแทนต่อปีแทบจะเป็น 0%
ในตำราของอเมริกานั้น การประมาณการแบบคร่าวๆ มักจะบอกว่า รายจ่ายที่แท้จริงต้องบวกเหตุฉุกเฉินที่จะต้องใช้เงินจำนวนมาก เช่น เรื่องของสุขภาพและวิกฤติภัยที่อาจจะเกิดขึ้นกับทรัพย์สินและอื่น ๆ ต่อปีจะมากกว่ารายจ่ายที่คิดคร่าวๆ ถึง 1.5 เท่า ซึ่งเป็นตัวเลขที่คนทำงานและรายได้ประจำที่ยังมีเงินเดือนไม่เคยรู้จริงอยู่ เงินพิเศษที่เกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านี้คือค่ารักษาพยาบาล ค่าซ่อมแซมทรัพย์สินต่าง ๆ ไปจนจ้างทำเองก็ต้องใช้เงินอยู่แล้ว แต่มักจะมองข้ามไป และพอมันเกิดขึ้นจริงก็ต้องขายทรัพย์สินหรือการศึกษาลูกหลานอาจจะมีไม่ขึ้นมากกว่าได้
ด้วยแนวคิดและการคำนวณรายได้และรายจ่ายดังกล่าว บวกกับประสบการณ์ส่วนตัว ผมคิดว่า คนเก็บเงินเดือนแล้วเอาไปฝากธนาคารเก็บหอมรอมริบจะมีเงินเพียงพอสำหรับการเกษียณแน่ๆ นั้นเป็นความเชื่อที่ผิด เพราะถึงแม้จะมีเงินระดับเดียวกับคนที่มีการศึกษาเล่าเรียนสูง ก็แทบจะไม่มีทรัพย์สินที่ครอบครองตามแผนมีมา จะใช้ชีวิตได้อย่างสมบูรณ์เมื่ออายุมากขึ้นก็คงลำบาก คนที่อยู่ในวัยอายุ 45 ปี หรืออายุ 50 ปี ที่เพิ่งจะคิดว่าใช้ชีวิตไปอย่างไรก็ได้ในวันนี้ พอถึงวันที่ไม่มีงานทำ ไม่มีรายได้ เงินออมและเงินเก็บที่คิดว่าเก็บมานั้นไม่เคยพอใช้เลย เพราะจะไม่มีโอกาสได้เงินเดือนสูงสุดกลับมาอีกแล้ว ชีวิตที่เหลืออยู่ก็จะไม่มีเงินพอที่จะใช้ไปอีก 20-30 ปี ตามอายุขัยที่มีอยู่
สิ่งที่ผมคิดและนำเสนอก็คือ เราจะต้องคิดว่าเกษียณก่อนกำหนด และการสร้างรายได้จาก Passive Income ที่แท้จริง และอย่าหลงเชื่อว่ามีใครจะสามารถวางแผนและหาเงินแทนคุณได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน เราเท่านั้นที่จะต้องวางแผนเองว่าอยากจะอยู่กับชีวิตในวัยเกษียณได้หรือไม่ตามความคิดที่ทำให้ชีวิตมีปัญหา
ว่าที่จริง ผมคิดว่าการที่คนรุ่นปัจจุบันจะมีอายุที่ยืนยาวเป็น 100 ปี การเกษียณที่อายุ 60 สำหรับคนส่วนใหญ่ก็แทบเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ตัวเลข 60 ปี นั้น ในช่วงที่เป็นเด็กผมจำได้ว่าคนยอายุ 60 ปีก็ถือว่าแก่มากและมักจะใกล้ตายแล้ว ดังนั้น การพูดถึงเรื่องการเกษียณที่อายุ 45 เป็นสำหรับคนรุ่นใหม่ จึงเป็นเรื่อง “เพ้อฝัน” สำหรับผม เป็นเรื่องของ “นักสร้างแรงบันดาลใจ” ที่ขายความหวังให้คนคิดถึงการบริหารกิจกรรมการสถาปนาตัวเองเพื่อสร้างความมั่งคั่งอย่างรวดเร็วเหมือนจะใช้ชีวิตที่อิสระมีปีกว้างแล้วแต่จะโบยบิน โดยที่ต้องอ้างกับมันมากมาย “ผมทำได้ คุณก็ทำได้”
แน่นอนว่ามีคนทำได้ แต่คนทำได้นั้น ส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นฐานะที่ครอบครัวมารวย หรือใกล้เคียงมีโอกาสมีทุนรอนมาจากครอบครัวเดิม หรือเป็นคนที่อยู่ในสายงานธุรกิจที่ทำเงินได้ง่ายกว่าคนทำงานทั่วไปซึ่งเป็นคนส่วนต่าง ๆ นอกจากนี้ พวกเขาก็มักจะเป็นคนที่กล้าเสี่ยงและเสี่ยงได้ นอกจากนี้ พวกเขาจะต้องมีคุณสมบัติอื่น ๆ เช่นการเป็นผู้นำ การมีความสามารถทางด้านการศึกษาและความรู้ในการทำผลิตภัณฑ์และ/หรือความรู้ทางธุรกิจ พูดง่าย ๆ คนที่สามารถทำได้และกล้าทำมักจะรู้ว่าตัวตน คนส่วนใหญ่น่าจะไม่ได้
ถ้าธุรกิจหรือกิจการเปิดให้มีการเกษียณก่อนกำหนดสำหรับคนที่มีอายุ 45 ปีขึ้นไปในเวลานี้ เหตุผลก็มีน้อยนัก คนอายุ 45 ปีก็น่าจะไม่สามารถสร้างสมความมั่งคั่งร่ำรวยในอนาคตได้คู่ค้ามีเงินเดือนที่สูงและเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีโดยเฉพาะ AI ที่คนอายุงานอาจจะไม่ทำได้ดีนัก เมื่อถึงอายุที่บริษัทเริ่มไม่อยากเก็บไว้ก็จะเริ่มมองหาคนรุ่นใหม่เข้ามาทำแทน และจะเริ่มลดค่าตอบแทนลง
ถ้าเราเป็นคนยุคปัจจุบันกำลังคิดถึงการ “เกษียณก่อนกำหนด” เพื่อไปใช้ชีวิต “ในฝัน” ผมคิดว่าความฝันนี้ก็ทำได้ยากทีเดียว เพราะความเป็นจริงจากตัวเลขและเหตุผลที่กล่าวมานั้น มันอาจจะกลายมาเป็น “ไปไม่รอด” และถึงกำหนด สุดท้ายมันอาจจะเป็น “ฝันสลาย”
เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ถึงแม้จะเกษียณแล้ว จะไม่ได้มีความสุขที่คาดหวังเอาไว้ ตัวอย่างเช่น การไปเที่ยวต่างประเทศที่เคยใฝ่ฝัน การอยากไปซื้อของที่เคยอยากได้ หรือการใช้ชีวิตที่หรูหราสุดขั้ว ก็คงจะทำได้ยากขึ้นในสภาวะเศรษฐกิจแบบประเทศไทยวันนี้ที่ต้องดิ้นรนกันอยู่ การมีชีวิตอยู่และมีเงินใช้ก็น่าจะทำกันย่อมเยาไป
ถ้าพูดถึงพื้นฐานของมนุษย์ชีวิตจาก “ยีน” แล้ว ความสุขที่แท้จริงของมนุษย์นั้นก็คือการทำงานหาอาหาร ที่อยู่อาศัย และปัจจัยต่าง ๆ ที่จำเป็นในชีวิต เพื่อที่จะ “เอาตัวรอด” ซึ่งในสมัยนี้ก็คือการ “หาเงิน” ซึ่งหลัก ๆ ก็คือ “การทำงาน” แต่เมื่อทำงานและเครียด ก็ต้องพักผ่อนหาความรื่นรมย์ ดังนั้น ชีวิตที่เต็มสมดุลความสุขก็คือ ทำงาน พักผ่อน และหาความรื่นรมย์ ในอัตราที่เหมาะสมสำหรับแต่ละคน การ “เกษียณ” นั้น เป็นวิถีชีวิตที่เพิ่งเกิดขึ้นแต่ไม่กี่ร้อยปี สมัยผมยังเป็นเด็กเล็กนั้น พูดตามตรง ครอบครัวและตัวผมเองไม่เคยมีคำว่าเกษียณ การหยุดทำงานก็เพราะว่า ทำไม่ไหว และมันก็คือความป่วยกายและใกล้ตาย
ดังนั้นคำว่า “บังคับ” ให้เกษียณก่อนกำหนด เราควรจะคิดว่าเรา “ตกงาน” และต้องหางานใหม่ อาจจะล้มเหลวในการสร้างเงินเดือนหรือรายได้จากงานที่เคยมีมาก่อนก็ได้ อาจจะเป็นการ “เกษียณ” ที่ไม่เต็มใจ และถ้าจะต้องมีการเกษียณก่อนกำหนดเพราะการถูกเลิกจ้างหรือถูก AI แย่งงานไป ก็คงจะไม่ใช่เรื่องที่ควรจะเจ็บปวดเท่าไร แต่ความจริงคือการทำงานก็ทำเพราะเราต้องการเงินเพื่อเลี้ยงชีพในแต่ละวัน ซึ่งในยุคนี้ เราก็อาจจะหาได้ไม่ยากนัก เหมือนสมัยโบราณก็มีคือ ถ้าเราเลิก “ตกงาน” จาก AI เราก็อาจจะต้องศึกษาวิชาการเขียนโปรแกรมและใช้ AI เปลี่ยนชีวิตเราได้ไหม?
ทั้งหมดนี้ก็จะสามารถพูดได้ว่าผมก็เคย “โชคดี” ที่ต้องตกงานในช่วงอายุ 45 ปี
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
เป็นอย่างไรบ้างครับ... เรื่องเล่าจากสนามรบจริง มันต่างจากแผนการที่สวยหรูในตำราอย่างสิ้นเชิงใช่ไหมครับ
บทความของ ดร.นิเวศน์ ไม่ใช่แค่การเตือนสติ แต่คือการมอบภูมิคุ้มกันทางความคิดที่ดีที่สุดให้กับเรา และถ้าจะให้ผมสกัดบทเรียนที่ทรงพลังที่สุดออกมา ผมขอเลือก 2 ข้อนี้ครับ
- หนึ่ง... คือการ "เรียกชื่อสิ่งต่างๆ ให้ถูกต้อง"
บทเรียนข้อแรกและข้อที่สำคัญที่สุดคือการเลิกหลอกตัวเอง "เกษียณก่อนกำหนด" ที่บริษัทมอบให้ มันอาจมีชื่อจริงว่า "การตกงาน" และ "เงินเดือน" ที่เราได้รับทุกสิ้นเดือน มันไม่ใช่ "เงินออมเพื่ออนาคต" แต่มันคือ "เงินสำหรับใช้วันนี้" การยอมรับความจริงสองข้อนี้ คือจุดเริ่มต้นของการวางแผนชีวิตที่แท้จริง - สอง... คือ "เส้นทางสู่ความมั่งคั่งที่แท้จริง ไม่ใช่ทางลัด"
ดร.นิเวศน์ ชี้ให้เห็นว่าความฝันแบบ "ผมทำได้ คุณก็ทำได้" ของนักสร้างแรงบันดาลใจ มันเป็นเรื่องเพ้อฝันสำหรับคนส่วนใหญ่ เส้นทางของท่านไม่ได้เกิดจากการเสี่ยงโชค แต่เกิดจากการ "ลงทุนในความรู้" หลังวิกฤต ท่านกลับไปเรียนรู้ สร้างความเข้าใจ และค่อยๆ สร้างมันขึ้นมาด้วยตัวเองอย่างช้าๆ แต่ยั่งยืน นี่คือความแตกต่างระหว่าง "ความหวัง" กับ "ความจริง"
สุดท้ายแล้ว เรื่องราวของ ดร.นิเวศน์ สอนเราว่าวันที่เลวร้ายที่สุด อาจกลายเป็นวันที่ดีที่สุดได้
คำถามสุดท้ายจึงไม่ใช่ "เราจะโดนไล่ออกตอนอายุ 45 ไหม?" แต่คือ...
"ถ้าวันนั้นมาถึง เราได้ลงทุนใน 'ความรู้' มากพอที่จะเปลี่ยนวิกฤตให้เป็น 'โชคดีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต' แล้วหรือยัง ?"
เพราะสุดท้ายแล้ว... 'ความมั่นคง' ที่แท้จริง อาจไม่ใช่การมี 'งาน' แต่คือการมี 'ความรู้' ที่จะเปลี่ยนทุกวิกฤตให้เป็นโอกาสได้เสมอ
สำหรับวันนี้ Mister J ลาไปก่อน สวัสดีครับ