Phloen Chit Human Resource Solution

ทำไม "สัจจะบริบูรณ์" ถึงสำคัญกว่าความเก่ง?

ทำไม "สัจจะบริบูรณ์" ถึงสำคัญกว่าความเก่ง?

สวัสดีครับ... Mister J กลับมาแล้วครับ พร้อมเรื่องราวดีๆ ที่จะมาชวนคุณ "โยกสมอง" ไม่ใช่แค่โยกตัวตามจังหวะเพลง

เคยรู้สึกไหมครับว่า สังคมที่เราอยู่ทุกวันนี้มันมีอะไรบางอย่างที่ ‘เพี้ยน’ ไป? เราเห็นคนเก่งเต็มไปหมด คนฉลาดก็เยอะแยะ แต่ทำไมเรากลับรู้สึกไม่ไว้วางใจกัน? ทำไมคำพูดของผู้นำหรือคนใหญ่คนโตหลายคนถึงฟังดูว่างเปล่า... เหมือนไม่มีแก่น?

ฝรั่งเขามีคำเท่ๆ คำหนึ่งครับ ที่เป็นหัวใจของเรื่องนี้เลย คือคำว่า Integrity

ที่ผ่านมา เราอาจจะเคยได้ยินคำนี้ผ่านหู แล้วก็แปลง่ายๆ ว่า "ความซื่อสัตย์" แต่ผมบอกเลยว่า... มันตื้นไปมาก! เหมือนเราฟังเพลงจากลำโพงโทรศัพท์ แล้วคิดว่านั่นคือเสียงที่ดีที่สุดแล้ว ทั้งที่เรายังไม่เคยฟังจากเครื่องเสียงดีๆ ที่มีซับวูฟเฟอร์แน่นๆ

แล้วคำไหนล่ะ ที่จะมาทำหน้าที่เป็น "ซับวูฟเฟอร์" ให้กับคำว่า Integrity ในภาษาไทย ?

วันนี้... ผมเจอบทความชิ้นหนึ่งที่ตอบคำถามนี้ได้อย่างคมคาย ซึ่งเป็นบทความของคุณพิทยา คงถาวร ที่เสนอคำว่า “สัจจะบริบูรณ์” ขึ้นมาแทน และชี้ให้เห็นว่าการขาดหายไปของแก่นแท้นี้ คือรากของวิกฤตที่เราเผชิญกันอยู่

เอาล่ะครับ... เพื่อให้เห็นภาพชัดๆ ผมอยากให้คุณได้ลองอ่านบทความชิ้นนี้ดูครับ


สัจจะบริบูรณ์: แก่นแท้ของ Integrity ที่สังคมไทยขาดหาย

ในโลกตะวันตก โดยเฉพาะในสถาบันพัฒนาภาวะผู้นำระดับโลก คำว่า Integrity ถือเป็นรากฐานสำคัญของการเป็นผู้นำ ไม่ใช่เพียงคุณสมบัติหนึ่งในหลายข้อ แต่คือ “หลักภายใน” ที่ทำหน้าที่เหมือนเสาหลักของอาคาร หากไม่มี Integrity ความรู้ ความสามารถ หรือความฉลาด ก็กลายเป็นสิ่งที่อันตราย

แต่ในบริบทของประเทศไทย คำว่า Integrity ยังไม่มีคำแปลที่ลึกซึ้งและถูกต้องอย่างแท้จริง คำแปลส่วนใหญ่ที่เราพบในตำราไทย เช่น “ความซื่อสัตย์” หรือ “ความสุจริต” นั้น สะท้อนเพียงส่วนหนึ่งของความหมายเท่านั้น และไม่อาจครอบคลุมถึงความลึกทางจิตสำนึก หรือความมั่นคงของตัวตนที่ Integrity ต้องการจะสื่อ

คำว่า “สัจจะบริบูรณ์” จึงถูกเสนอขึ้นในที่นี้ ในฐานะคำที่ใกล้เคียงและอาจใช้แทนได้อย่างเหมาะสมที่สุด

ความหมายของ Integrity ที่มากกว่าความซื่อสัตย์

Integrity คือ การเป็นหนึ่งเดียวกันทั้งในความคิด คำพูด และการกระทำ

คนที่มี Integrity ไม่ใช่แค่ไม่โกง แต่คือคนที่ ไม่หลอกตัวเอง ไม่โกหกผู้อื่น ไม่แปรเปลี่ยนไปตามแรงกดดันของสถานการณ์

  • แม้ไม่มีใครเห็น เขาก็ยังคงทำในสิ่งที่ถูกต้อง

  • แม้มีผลประโยชน์มหาศาลอยู่ตรงหน้า เขาก็ไม่แลกมันกับหลักการ

  • แม้ต้องสูญเสีย เขาก็ยังเลือกความถูกต้อง

นี่คือระดับของจริยธรรมที่ไม่ได้ตั้งอยู่บนศีลธรรมที่ใครมอบให้ แต่ตั้งอยู่บน “แก่นในตัวเอง” คนแบบนี้เชื่อถือได้ ไม่ว่าจะอยู่ต่อหน้าเราหรือไม่อยู่ก็ตาม

เหตุใด “สัจจะบริบูรณ์” จึงเป็นคำที่เหมาะสมที่สุด?

คำว่า “สัจจะ” ในภาษาไทยหมายถึง “ความสัตย์จริง” แต่เมื่อเติมคำว่า “บริบูรณ์” ต่อท้าย มันจึงไม่ใช่แค่ความสัตย์ทั่วไป แต่คือ ความสัตย์ที่สมบูรณ์ ไม่บกพร่อง ไม่อ่อนข้อ ไม่ประนีประนอม เป็นสัจจะที่ไม่เลือกทำเฉพาะเวลาที่สะดวก ไม่อิงบริบทว่าจะได้ผลตอบแทนหรือไม่ สัจจะบริบูรณ์ คือการที่ สิ่งที่เราเชื่อมั่น กลายเป็นแนวทางในการดำรงชีวิต จนไม่ต้องรอให้ใครมาสอดส่อง

เมื่อไม่มีสัจจะบริบูรณ์ในสังคมไทย

เมื่อ Integrity ไม่มีที่ยืน

  • การเมืองก็เต็มไปด้วยคำโกหกที่ฟังจนชิน

  • ตำรวจกับข้าราชการกลายเป็นผู้หาประโยชน์จากระบบ ไม่ใช่ผู้รักษากติกา

  • คนรุ่นใหม่เติบโตมากับความเชื่อว่า “ความดีแพ้ความเก่ง” และ “ความจริงแพ้อำนาจ”

  • ผู้นำองค์กรเก่งบริหาร แต่ไม่กล้าเผชิญความจริง

  • ผู้บริหารบางคนพูดเรื่องธรรมาภิบาล แต่เบื้องหลังคือผลประโยชน์เฉพาะกลุ่ม

นี่คือเหตุผลว่าทำไม Integrity จึงไม่ใช่ “คำสวยๆ” แต่คือ รากเหง้าของวิกฤตเชิงจริยธรรมในระดับสังคม

สัจจะบริบูรณ์ในตัวผู้นำ = พลังในการเปลี่ยนองค์กรและสังคม

ในบทความนี้ เราจะชวนคุณกลับมาตั้งคำถามกับตัวเอง:

  • ฉันเคยพูดในสิ่งที่ตัวเองไม่เชื่อหรือไม่?

  • ฉันเคยเงียบเมื่อควรพูดไหม?

  • ฉันเคยทำในสิ่งที่ขัดกับหลักของตัวเองเพราะกลัวสูญเสียหรือเปล่า?

เพราะ การฝึก Integrity ไม่ใช่การเปลี่ยนคนอื่น แต่เริ่มจากการซื่อสัตย์กับตัวเองก่อน

และเมื่อผู้นำมีสัจจะบริบูรณ์

  • วัฒนธรรมองค์กรจะเปลี่ยน เพราะคนทำตามแบบอย่าง

  • ความไว้ใจจะเกิดขึ้นโดยไม่ต้องใช้กฎ

  • คนจะกล้ารับผิด เพราะไม่กลัวการลงโทษจากผู้ที่มีธรรมาภิบาลแท้จริง

บทสรุป

“Integrity ไม่ใช่คุณสมบัติเสริม แต่คือแกนกลางของการเป็นมนุษย์ที่มีคุณค่า” และในบริบทภาษาไทย “สัจจะบริบูรณ์” คือคำที่สามารถสะท้อนคุณสมบัตินี้ได้อย่างทรงพลัง

การที่สังคมไทยไม่มีคำที่แม่นยำสำหรับ Integrity คือร่องรอยของปัญหาที่ลึกกว่าที่ตาเห็น คอร์สนี้จึงไม่ได้ตั้งใจจะ “สอน” แต่จะ “ปลุก” ปลุกให้แต่ละคนหันกลับมาเชื่อมต่อกับความจริงในตัวเอง เพราะเมื่อคนหนึ่งมีสัจจะบริบูรณ์… เขาจะกลายเป็น “แสงนำ” ให้คนอื่นกล้ายืนหยัดตาม

- พิทยา คงถาวร 11 พฤษภาคม 2568 วันวิสาขบูชา

 


เป็นยังไงกันบ้างครับ... อ่านจบแล้วรู้สึก ‘จุก’ เหมือนผมไหม?  มันไม่ใช่แค่บทความ แต่เหมือนกระจกที่สะท้อนภาพสังคมที่เราเห็นกันอยู่ทุกวัน

สำหรับผมนะ... สิ่งที่คุณพิทยาเรียกว่า Integrity vs Image หรือ "สัจจะบริบูรณ์ ปะทะ ภาพลักษณ์" นี่แหละคือคีย์เวิร์ดสำคัญของยุคนี้เลย

มันเหมือนเสียงเบสในเพลงครับ "สัจจะบริบูรณ์" คือเสียงเบสที่แน่น ลึก และเป็นรากฐานของเพลง ทำให้ทุกอย่างมั่นคง ส่วน "ภาพลักษณ์" คือเสียงสังเคราะห์ที่ฉาบฉวยอยู่ข้างบน ฟังเผินๆ อาจจะเพราะ แต่ถ้าเบสไม่แน่น เพลงทั้งเพลงก็กลวงโบ๋ ไม่มีพลัง

วิกฤตที่เราเจอกันทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กๆ อย่างการแซงคิว ไปจนถึงเรื่องใหญ่อย่างการทุจริตคอร์รัปชัน มันเกิดจากสังคมที่ให้ค่ากับ "ภาพลักษณ์" มากกว่า "สัจจะบริบูรณ์" เรายอมทำผิดเล็กๆ น้อยๆ เพื่อรักษาหน้าตา ยอมโกหกเพื่อเอาตัวรอด ยอมเงียบเพื่อความปลอดภัย จนเสียงในใจของเรามันค่อยๆ เบาลง... เบาลง... จนแทบไม่ได้ยิน

บทความนี้ไม่ได้ชวนให้เราไปตัดสินใครนะครับ แต่ชวนให้เรากลับมาฟังเสียงข้างในของตัวเองให้ชัดขึ้นอีกครั้ง

คำถามสุดท้ายที่ผมอยากจะฝากไว้ก็คือ ทุกวันนี้ ‘เสียง’ ที่ดังที่สุดในหัวของคุณ คือเสียงของใคร?

เสียงของสังคม? เสียงของความกลัว? หรือเสียงของ ‘สัจจะบริบูรณ์’ ที่กำลังร้องเรียกหาคุณอยู่ข้างใน?

ลองตอบคำถามนี้กับตัวเองดูนะครับ

สำหรับวันนี้ Mister J ขอลาไปก่อน... แล้วกลับมาพบกันใหม่กับเรื่องราวที่จะทำให้สมองของคุณได้ทำงานหนักกว่าเดิม สวัสดีครับ