ถอดรหัสชีวิตรอด เมื่อความมั่นคงไม่มีจริง

<p>สวัสดีครับ... Mister J กลับมาพร้อมเรื่องราวที่จะทำให้เราต้องวางแก้วกาแฟลง แล้วหันมามองอนาคตของตัวเองกันอย่างจริงจัง</p>
<p>ตลอดชีวิตการทำงานที่ผ่านมา พวกเราหลายคนถูกสอนให้วิ่งแข่งในระยะทางไกล... โดยมีเส้นชัยที่เขียนว่า "เกษียณตอนอายุ 60 ปี" เป็นเป้าหมาย แต่แล้วจู่ๆ ก็มีข่าวใหญ่ข่าวหนึ่งดังขึ้นมา... เหมือนมีใครมาประกาศกลางสนามแข่งว่า</p>
<p><span style="font-size: 14pt;"><strong>"เส้นชัยได้ถูกย้ายมาอยู่ที่หลักกิโลเมตรที่ 45 แล้ว !"</strong></span></p>
<p>ใช่ครับ ผมกำลังพูดถึงปรากฏการณ์ "Early Retire" ที่อายุ 45 ปี ที่กำลังเป็นประเด็นร้อนในสังคมตอนนี้ มันไม่ใช่แค่ข่าวของพนักงานธนาคาร แต่มันคือสัญญาณเตือนที่ดังไปถึงคนทำงานทุกเจเนอเรชันว่า "ความมั่นคง" ในรูปแบบเดิมๆ อาจไม่มีอยู่อีกต่อไป</p>
<p>มันคือสัญญาณว่า 'กติกา' ของเกมการทำงานที่เรารู้จักกำลังถูกเขียนใหม่ทั้งหมด และท่ามกลางแรงสั่นสะเทือนนี้ ก็มีเสียงสะท้อนที่น่าสนใจออกมามากมาย วันนี้ผมอยากชวนคุณมาอ่านบทสรุปปรากฏการณ์นี้ พร้อมแนวคิดที่ทั้ง 'โหด' และ 'จริง' จาก ดร.บุรณิน รัตนสมบัติ นายกสมาคมการตลาดฯ ที่ออกมาฉายภาพ "บรรทัดฐานใหม่" ของคนทำงานรุ่นใหม่ ที่อาจจะเป็นคู่มือเอาชีวิตรอดสำหรับพวกเราทุกคน</p>
<p>ลองอ่านดูครับ... แล้วเรามาคุยกันต่อในช่วงท้าย</p>
<h2><span style="color: rgb(224, 62, 45);">เกษียณวัย 45 ปี บรรทัดฐานทำงาน คนรุ่นใหม่<br>เลิกคิด Work Life Balance</span></h2>
<p>ข่าวใหญ่สะเทือนมนุษย์เงินเดือนและคนทำงาน คือการประกาศจากธนาคารยักษ์ใหญ่ของไทยอย่าง "กสิกรไทย" หรือ KBANK สำหรับ "โครงการเออร์ลี่รีไทร์" (Early Retire) ปี 2568 "เกษียณก่อนเกษมสุข" ซึ่งเปิดให้พนักงานอายุ 45 ปีขึ้นไป "เกษียณก่อน" โดยมีการมอบสิทธิประโยชน์เป็นค่าชดเชยตามอายุงาน บวกกับเงินช่วยเหลือพิเศษระยะเวลา 8-12 เดือน จะเริ่มวันที่ 15 สิงหาคม - 7 ตุลาคม 2568 และมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2568</p>
<p>ประเด็นร้อน และโลกโซเชียล ประชาชน รวมถึงนักธุรกิจชั้นนำของเมืองไทย ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นหลากมิติแตกต่างกันออกไป เช่น อายุ 45 คือช่วงเวลา "ครึ่งทาง" ของชีวิตการทำงาน อายุ 45ปี อยู่ในโหมดต้องเกษียณจากการทำงานแล้ว เหตุการณ์นี้เป็นเวลาของการปรับตัว การมองเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) ทรงอิทธิพลในโลกทำงาน ใดๆนี่เป็นเหตุการณ์ที่สะท้อน "ความไม่มั่นคงในโลกการทำงาน" ด้วย</p>
<p>อีกบุคคลแถวหน้าที่มีทัศนะต่อเรื่อง "เกษียณในวัย 45 ปี" คือ ดร.บุรณิน รัตนสมบัติ นายกสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ดังนี้</p>
<p><span style="font-size: 14pt;"><strong>ดร.บุรณิน รัตนสมบัติ</strong></span></p>
<p>..ถ้าการเกษียณที่อายุ 45 ปี เป็นบรรทัดฐานของคนรุ่นใหม่ เราต้องออกแบบชีวิตอย่างไรดี</p>
<ul style="list-style-type: square;">
<li>
<p><span style="font-size: 12pt;">ควรเรียนในระบบแค่ 15 ปี เพราะต้องเร่งเป็นผู้ใหญ่</span></p>
</li>
<li style="font-size: 12pt;">
<p><span style="font-size: 12pt;">ช่วงอายุ 15-25 เรียนไปด้วยทำงานไปด้วย สร้าง portfolio สร้างอาชีพ เริ่มเก็บเงิน และใช้เงินทำงาน</span></p>
</li>
<li style="font-size: 12pt;">
<p><span style="font-size: 12pt;">อายุ 25-35 เลือกงานเพื่อสร้าง profile ประสบการณ์ ย้ายงาน เปลี่ยนตำแหน่ง ทุก 2 ปี ให้ได้สัก 3-4 ครั้ง ทำในงานที่มีส่วนใหญ่คนอื่นทำไม่ได้</span></p>
</li>
<li style="font-size: 12pt;">
<p><span style="font-size: 12pt;">อายุ 35 ปีขึ้นเป็น CEO หรือว่าโกอิท เพื่อไปเปิดบริษัทเอง อาจดูเหมือนเสี่ยงแต่ก็ดีกว่าอยู่อีกไปอีก 10 ปี ที่โอกาสจะเสียมากว่า</span></p>
</li>
<li style="font-size: 12pt;">
<p><span style="font-size: 12pt;">อายุ 45 ปีเกษียณ พร้อมมี passive income ก้อนหนึ่ง เพราะเราไม่ได้เป็นรัฐสวัสดิการ</span></p>
</li>
<li style="font-size: 12pt;">
<p><span style="font-size: 12pt;">หลังอายุ 45 ปี ทำงาน Freelance ดูแลสุขภาพ ย้ายไปอยู่ต่างจังหวัดหรือประเทศที่มีค่าครองชีพต่ำ</span></p>
</li>
<li style="font-size: 12pt;">
<p><span style="font-size: 12pt;">เลิกคิด work life balance ทำบ้าน ทำคอนโดมิเนียม ให้เป็น Home office ควรมี Second Job , Third Job และ AI เป็นผู้ช่วย และเพื่อนร่วมงาน</span><span style="font-size: 8pt;"><strong><br></strong></span></p>
</li>
</ul>
<p style="font-size: 12pt;">&nbsp;</p>
<p>อ่านจบแล้ว... หายใจลึกๆ นะครับ&nbsp;</p>
<p>ไทม์ไลน์ชีวิตแบบใหม่ที่ ดร.บุรณิน ร่างขึ้นมานั้น มันอาจจะฟังดูโหดร้าย เหมือนคู่มือเอาชีวิตรอดในโลกดิสโทเปีย แต่นี่คือความจริงที่เราอาจต้องเผชิญหน้ากับมัน และถ้าจะให้ผมสกัดแก่นที่สำคัญที่สุดจากเรื่องราวทั้งหมดนี้ ผมขอขีดเส้นใต้ 2 ประเด็นครับ</p>
<ul style="list-style-type: square;">
<li><span style="color: rgb(0, 86, 173);"><strong>หนึ่ง... คือ "การตายของ Work-Life Balance" และการมาถึงของ "Work-Life Blend"</strong> <br></span>ประโยคที่ว่า "เลิกคิด work life balance" คือคำที่แรงที่สุด แต่ก็จริงที่สุดในยุคนี้ มันไม่ใช่การบอกให้เราทำงานหนักจนตาย แต่คือการยอมรับว่าเส้นแบ่งระหว่าง "งาน" กับ "ชีวิต" มันได้จางหายไปแล้ว คนรุ่นใหม่ไม่ได้มองหาการ "สมดุล" แต่กำลังมองหาการ "ผสมผสาน" (Blend) ที่ลงตัว ทำบ้านให้เป็นออฟฟิศ มีหลายอาชีพในร่างเดียว และใช้เทคโนโลยีเป็นผู้ช่วย นี่คือเกมใหม่ที่ต้องเล่นให้เป็น<br><br></li>
<li><span style="color: rgb(0, 86, 173);"><strong>สอง... คือการเปลี่ยนโฟกัสจาก "ความมั่นคง" ไปสู่ "ความคล่องตัว" (Agility)</strong></span> <br>ในยุคเก่า เราถูกสอนให้มองหางานที่ "มั่นคง" ทำยาวๆ ไปจนเกษียณ แต่ในยุคใหม่นี้ สิ่งที่เราต้องสร้างคือ <strong>"ความคล่องตัว"</strong> ครับ ความสามารถในการเรียนรู้สิ่งใหม่ (Learn), ล้างทักษะเก่าที่ใช้ไม่ได้แล้ว (Unlearn), และเรียนรู้ทักษะที่จำเป็นซ้ำอีกครั้ง (Relearn) ได้อย่างรวดเร็ว การย้ายงานทุก 2 ปีที่ ดร.บุรณิน พูดถึง ก็คือการสร้างความคล่องตัวนี่เอง</li>
</ul>
<p>คำถามสุดท้ายที่ผมอยากจะฝากไว้ ไม่ใช่ "เราจะรอดไหม?" แต่คือ... <span style="font-size: 14pt; color: rgb(224, 62, 45);"><strong>"เราจะออกแบบชีวิตและการทำงานของเราอย่างไร ให้พร้อมโต้คลื่นการเปลี่ยนแปลงลูกนี้อย่างผู้ชนะ?"</strong></span></p>
<p>โลกเปลี่ยน... เราไม่จำเป็นต้องแค่ 'ปรับ' แต่เรา 'ออกแบบใหม่' ได้ครับ</p>
<p>สำหรับวันนี้ Mister J ลาไปก่อน สวัสดีครับ</p>