<p>สวัสดีครับ... Mister J กลับมาอีกครั้งครับ</p>
<p>ท่ามกลางกระแสข่าวใหญ่ที่สะเทือนมนุษย์เงินเดือน เมื่อมีการประกาศจากธนาคารยักษ์ใหญ่ของไทยอย่าง "กสิกรไทย" หรือ KBANK ที่เปิดให้พนักงานอายุ 45 ปีขึ้นไปได้เกษียณก่อนอายุนั้น มีทั้งคนที่วาดฝันถึงอิสรภาพ และคนที่หวาดกลัวความไม่มั่นคง</p>
<p>แต่วันนี้... เราจะไม่ได้มาคุยกันเรื่องแผนการเกษียณในอนาคตครับ แต่เราจะมาฟังเรื่องเล่าจาก <span style="color: rgb(224, 62, 45);"><strong>"ทหารผ่านศึก"</strong></span> ผู้ที่เคยเผชิญหน้ากับสถานการณ์นั้นจริงๆ... ชายผู้ที่เคย <strong>"ตกงาน"</strong> ในวัย 45 ปี ในช่วงเวลาที่มืดมนที่สุดของเศรษฐกิจไทยอย่างวิกฤตต้มยำกุ้ง</p>
<p>ผมกำลังพูดถึง <span style="color: rgb(0, 86, 173);"><strong>ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร</strong> </span>ปรมาจารย์นักลงทุน VI ของเมืองไทย ที่จะมาเล่าประสบการณ์ตรงที่เปลี่ยนชีวิต จากจุดที่เคยเป็นรองกรรมการผู้จัดการสู่การเป็น "คนตกงาน" และมันกลายเป็น "โชคดีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต" ของเขาได้อย่างไร</p>
<p>นี่คือบทเรียนที่เขียนด้วยประสบการณ์จริง... ที่อาจจะ <strong>"ขม"</strong> แต่มีค่ามหาศาล และอาจเป็นเข็มทิศที่สำคัญที่สุดสำหรับคนทำงานในยุคนี้... เชิญครับ</p>
<h2 class="query-text-line ng-star-inserted"><span style="color: rgb(224, 62, 45);">อายุ 45 ปี เกษียณหรือตกงาน <br></span><span style="color: rgb(224, 62, 45);">เขียนโดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร </span><!----><!----><!----><!----></h2>
<p class="query-text-line ng-star-inserted">ปี 2540 ซึ่งเป็นปีที่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจ “ต้มยำกุ้ง” ผมมีอายุ 44-45 ปี บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ที่ผมทำงานในตำแหน่งรองกรรมการผู้จัดการอยู่ กำลังล่มสลาย ผมถูกให้ออกจากงานที่มีความมั่นคง เงินเดือนสูง และมีโอกาสเติบโตอย่างรวดเร็ว <!----><!----></p>
<p class="query-text-line ng-star-inserted">ก่อนถึงวันนั้น ผมไม่เคยคิดว่าจะต้อง “ตกงาน” เพราะถูกให้ออก ผมคิดว่าผมคงจะอยู่ไปเรื่อย ๆ จนถึงวันเกษียณที่อายุ 60 ปี และมีเงินเก็บหรือเงินออม รวมถึงเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่บริษัทจัดให้เพียงพอสำหรับการดำรงชีวิตถึงอายุสัก 80 ปี แม้ว่าในวันนั้นผมยังไม่เคยคิดถึงการมี “เงินเพื่อการเกษียณ” เลยก็ตาม แต่เมื่อถูกให้ออกจากงาน ผมถึงได้รู้ซึ้งว่า เงินเดือนและโบนัสที่เคยได้ มันไม่ใช่ “เงินเพื่อการเกษียณ” แต่เป็นเพียงเงินรางวัลของคนทำงานในวันนี้ เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ยังไม่มีใครมี “แผน” ที่จะจัดการเรื่องเงินเพื่ออนาคตนั้นในประเทศไทย <!----><!----><!----><!----></p>
<p class="query-text-line ng-star-inserted">อายุเพิ่งจะ 40 ต้นกว่า ถ้าพูดถึงวันที่จะเกษียณก็คงเป็นคนที่ไม่มีความหายอดทนหรือมีพลังในการที่จะทำงานหาเงินเพื่อความมั่งคั่งพอ คนอายุเลข 4 นี้ เป็นช่วงที่เรียกว่า “Prime” ที่สุดของชีวิต เพราะมีความรู้และประสบการณ์เพียงพอที่จะทำงานสำคัญที่สุดของกิจการหรือบริษัท เป็นช่วงที่มีพลังและความทะเยอทะยานสูงสุดในชีวิต และแน่นอนว่าเป็นช่วงเวลาที่ทำเงินได้สูงสุดในฐานะคนขายแรงงาน ในช่วงเวลานั้น <!----><!----></p>
<p class="query-text-line ng-star-inserted">แต่อายุ 45 กลับเป็นเวลาที่ผม “ตกงาน” และโอกาสที่จะหางานที่ดีๆ ที่มีเงินเดือนเพิ่มแทบไม่มี เงินเก็บออมมีน้อยนิด ไม่มีกระทั่งจะใช้ชีวิตในครอบครัวที่มีระดับการศึกษาไม่ได้มีเงินเดือนและรายได้เพียงพอจากการลงทุนทางการเงินที่สร้างผลตอบแทนได้อย่างที่คิด แต่กลับได้รู้ว่าในเวลาที่ไม่มีงานทำ ไม่มีรายได้ และครอบครัวอาจจะต้องเปลี่ยนแปลงถึงขนาดจะต้อง “เกษียณก่อนกำหนด” อย่างไม่ตั้งใจ <!----><!----></p>
<p class="query-text-line ng-star-inserted">โชคดีที่ผมได้งานใหม่อย่างรวดเร็วแม้ว่าจะเป็นงานที่ไม่ได้มีความหมายอะไรมากไปกว่างานชั่วคราว ซึ่งทำให้ผมมีเวลาคิดและสะสมสิ่งที่ผมเรียกมันว่า “ชีวิตใหม่” ของผม นั่นก็คือ “การลงทุนในความรู้” ผมกลับไปเรียนหนังสือใหม่ในชั้นเรียนที่เกี่ยวกับการเงิน การลงทุนและการบริหารธุรกิจ จากนั้นก็นำสิ่งที่เรียนรู้ไปบรรยายให้กับ “คนทำ” และ “คนเกษียณ” ทั้งหลาย ได้ตระหนักว่า “เงินเดือน” ที่เคยได้รับนั้นไม่ใช่เงินออมเพื่อการเกษียณเลย แต่เป็นเพียง “เงินใช้วันนี้” ซึ่งวันหนึ่งมันจะหมดไป บริษัทและกิจการที่ว่า “มั่นคง” ก็อาจจะล่มสลายได้ “มั่งคั่ง” เหลือเกิน <!----><!----><!----><!----></p>
<p class="query-text-line ng-star-inserted">ผมคงไม่ต้องบอกว่า การประสบกับปัญหาชีวิตที่ต้องตกงานที่อายุ 44 ปี ครั้งนั้น เป็นโชคดีที่ยิ่งใหญ่แค่ไหนของผม ชีวิตผมเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นทุกทาง ความมั่งคั่งเพิ่มขึ้น “เหนือจินตนาการ” ความสุขเพิ่มขึ้น “เต็มศักยภาพ” เพราะมีความมั่นคงในชีวิตและเงินมากพอที่จะซื้อความสุขบางอย่างที่ซื้อได้ และซื้อความสะดวกสบายที่ช่วยลดความทุกข์หลาย ๆ อย่างลงไป <!----><!----></p>
<p class="query-text-line ng-star-inserted">ผมยังทำงานเป็นลูกจ้างต่อไปอีกประมาณ 7-8 ปี จนอายุ 51-52 ปี ถึง “เกษียณ” ตัวเองจากงานประจำมาเป็น “นักลงทุน” เต็มตัวในวันที่มีเงินมากพอแล้ว ซึ่งไม่ใช่เงิน 200-250 เท่าของรายจ่ายต่อปีอย่างที่ตำราบอกเอาไว้ แต่เป็นการเก็บเงินและสร้างทรัพย์สินอย่างค่อยเป็นค่อยไปด้วยความรู้ ความเข้าใจ และความสามารถของตัวเอง โดยมีผลตอบแทนที่เป็น Passive Income เพิ่มขึ้นจนเพียงพอที่จะอยู่ได้โดยไม่ต้องทำงานประจำอีกต่อไป การเกษียณของผมในครั้งนั้นไม่ใช่เพราะไม่มีงานทำหรือถูกเลิกจ้าง แต่เป็นเพราะผมมีเงินพอเพียงและมีความมั่นใจว่าจะอยู่ได้โดยไม่ต้องทำงาน <!----><!----></p>
<p class="query-text-line ng-star-inserted">ความคิดและความเห็นของผมสำหรับการ “เกษียณก่อนกำหนด” ก็คือ เราควรจะสร้างเงินจาก Passive Income หรือรายได้ที่สามารถเลี้ยงตัวเองและครอบครัวในแต่ละปีอย่างพอเพียง หรืออย่างน้อยก็ทำให้มีเงินมากพอที่จะเลี้ยงตัวเองอยู่ได้ สมมุติว่ารายจ่ายทั้งปีอยู่ที่ 1 ล้านบาท ก็ควรจะมีรายได้จาก 2-3 ทาง โดยที่การคำนวณต้องเป็นจริงตามความสามารถของเราจริง ๆ เช่น <!----><!----><!----><!----></p>
<p class="query-text-line ng-star-inserted">ถ้าเป็นพอร์ตหุ้น รายได้จากการลงทุนต่อปีไม่ควรจะเกิน 5% ต่อปี พันธบัตรและหุ้นกู้ ไม่ควรเกิน 3% และเงินฝากก็ไม่เกิน 1% ส่วนสินทรัพย์อื่นที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้เช่น ทองและที่ดินหรือบ้านที่ไม่ได้ให้เช่า ผลตอบแทนก็คือ 0% ส่วนอสังหาริมทรัพย์ให้เช่าก็นับว่ามีเป็นจริงว่ามีรายได้เท่าไรต่อปีในอดีตที่ผ่านมา และก็ค่อยไปเชื่อหรือใช้ตัวเลขของคนที่ “ขายบริการบริหารเงิน” ที่มักจะบอกว่าหุ้นให้ผลตอบแทนเท่ากับ 10% ในระยะยาว เพราะสถิติไม่น้อยกว่า 10 ปีที่ผ่านมาโดยเฉพาะในตลาดหุ้นไทยนั้น ผลตอบแทนต่อปีแทบจะเป็น 0% <!----><!----></p>
<p class="query-text-line ng-star-inserted">ในตำราของอเมริกานั้น การประมาณการแบบคร่าวๆ มักจะบอกว่า รายจ่ายที่แท้จริงต้องบวกเหตุฉุกเฉินที่จะต้องใช้เงินจำนวนมาก เช่น เรื่องของสุขภาพและวิกฤติภัยที่อาจจะเกิดขึ้นกับทรัพย์สินและอื่น ๆ ต่อปีจะมากกว่ารายจ่ายที่คิดคร่าวๆ ถึง 1.5 เท่า ซึ่งเป็นตัวเลขที่คนทำงานและรายได้ประจำที่ยังมีเงินเดือนไม่เคยรู้จริงอยู่ เงินพิเศษที่เกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านี้คือค่ารักษาพยาบาล ค่าซ่อมแซมทรัพย์สินต่าง ๆ ไปจนจ้างทำเองก็ต้องใช้เงินอยู่แล้ว แต่มักจะมองข้ามไป และพอมันเกิดขึ้นจริงก็ต้องขายทรัพย์สินหรือการศึกษาลูกหลานอาจจะมีไม่ขึ้นมากกว่าได้ <!----><!----></p>
<p class="query-text-line ng-star-inserted">ด้วยแนวคิดและการคำนวณรายได้และรายจ่ายดังกล่าว บวกกับประสบการณ์ส่วนตัว ผมคิดว่า คนเก็บเงินเดือนแล้วเอาไปฝากธนาคารเก็บหอมรอมริบจะมีเงินเพียงพอสำหรับการเกษียณแน่ๆ นั้นเป็นความเชื่อที่ผิด เพราะถึงแม้จะมีเงินระดับเดียวกับคนที่มีการศึกษาเล่าเรียนสูง ก็แทบจะไม่มีทรัพย์สินที่ครอบครองตามแผนมีมา จะใช้ชีวิตได้อย่างสมบูรณ์เมื่ออายุมากขึ้นก็คงลำบาก คนที่อยู่ในวัยอายุ 45 ปี หรืออายุ 50 ปี ที่เพิ่งจะคิดว่าใช้ชีวิตไปอย่างไรก็ได้ในวันนี้ พอถึงวันที่ไม่มีงานทำ ไม่มีรายได้ เงินออมและเงินเก็บที่คิดว่าเก็บมานั้นไม่เคยพอใช้เลย เพราะจะไม่มีโอกาสได้เงินเดือนสูงสุดกลับมาอีกแล้ว ชีวิตที่เหลืออยู่ก็จะไม่มีเงินพอที่จะใช้ไปอีก 20-30 ปี ตามอายุขัยที่มีอยู่ <!----><!----></p>
<p class="query-text-line ng-star-inserted">สิ่งที่ผมคิดและนำเสนอก็คือ เราจะต้องคิดว่าเกษียณก่อนกำหนด และการสร้างรายได้จาก Passive Income ที่แท้จริง และอย่าหลงเชื่อว่ามีใครจะสามารถวางแผนและหาเงินแทนคุณได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน เราเท่านั้นที่จะต้องวางแผนเองว่าอยากจะอยู่กับชีวิตในวัยเกษียณได้หรือไม่ตามความคิดที่ทำให้ชีวิตมีปัญหา <!----><!----><!----><!----></p>
<p class="query-text-line ng-star-inserted">ว่าที่จริง ผมคิดว่าการที่คนรุ่นปัจจุบันจะมีอายุที่ยืนยาวเป็น 100 ปี การเกษียณที่อายุ 60 สำหรับคนส่วนใหญ่ก็แทบเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ตัวเลข 60 ปี นั้น ในช่วงที่เป็นเด็กผมจำได้ว่าคนยอายุ 60 ปีก็ถือว่าแก่มากและมักจะใกล้ตายแล้ว ดังนั้น การพูดถึงเรื่องการเกษียณที่อายุ 45 เป็นสำหรับคนรุ่นใหม่ จึงเป็นเรื่อง “เพ้อฝัน” สำหรับผม เป็นเรื่องของ “นักสร้างแรงบันดาลใจ” ที่ขายความหวังให้คนคิดถึงการบริหารกิจกรรมการสถาปนาตัวเองเพื่อสร้างความมั่งคั่งอย่างรวดเร็วเหมือนจะใช้ชีวิตที่อิสระมีปีกว้างแล้วแต่จะโบยบิน โดยที่ต้องอ้างกับมันมากมาย “ผมทำได้ คุณก็ทำได้” <!----><!----></p>
<p class="query-text-line ng-star-inserted">แน่นอนว่ามีคนทำได้ แต่คนทำได้นั้น ส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นฐานะที่ครอบครัวมารวย หรือใกล้เคียงมีโอกาสมีทุนรอนมาจากครอบครัวเดิม หรือเป็นคนที่อยู่ในสายงานธุรกิจที่ทำเงินได้ง่ายกว่าคนทำงานทั่วไปซึ่งเป็นคนส่วนต่าง ๆ นอกจากนี้ พวกเขาก็มักจะเป็นคนที่กล้าเสี่ยงและเสี่ยงได้ นอกจากนี้ พวกเขาจะต้องมีคุณสมบัติอื่น ๆ เช่นการเป็นผู้นำ การมีความสามารถทางด้านการศึกษาและความรู้ในการทำผลิตภัณฑ์และ/หรือความรู้ทางธุรกิจ พูดง่าย ๆ คนที่สามารถทำได้และกล้าทำมักจะรู้ว่าตัวตน คนส่วนใหญ่น่าจะไม่ได้ <!----><!----></p>
<p class="query-text-line ng-star-inserted">ถ้าธุรกิจหรือกิจการเปิดให้มีการเกษียณก่อนกำหนดสำหรับคนที่มีอายุ 45 ปีขึ้นไปในเวลานี้ เหตุผลก็มีน้อยนัก คนอายุ 45 ปีก็น่าจะไม่สามารถสร้างสมความมั่งคั่งร่ำรวยในอนาคตได้คู่ค้ามีเงินเดือนที่สูงและเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีโดยเฉพาะ AI ที่คนอายุงานอาจจะไม่ทำได้ดีนัก เมื่อถึงอายุที่บริษัทเริ่มไม่อยากเก็บไว้ก็จะเริ่มมองหาคนรุ่นใหม่เข้ามาทำแทน และจะเริ่มลดค่าตอบแทนลง <!----><!----></p>
<p class="query-text-line ng-star-inserted">ถ้าเราเป็นคนยุคปัจจุบันกำลังคิดถึงการ “เกษียณก่อนกำหนด” เพื่อไปใช้ชีวิต “ในฝัน” ผมคิดว่าความฝันนี้ก็ทำได้ยากทีเดียว เพราะความเป็นจริงจากตัวเลขและเหตุผลที่กล่าวมานั้น มันอาจจะกลายมาเป็น “ไปไม่รอด” และถึงกำหนด สุดท้ายมันอาจจะเป็น “ฝันสลาย” <!----><!----></p>
<p class="query-text-line ng-star-inserted">เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ถึงแม้จะเกษียณแล้ว จะไม่ได้มีความสุขที่คาดหวังเอาไว้ ตัวอย่างเช่น การไปเที่ยวต่างประเทศที่เคยใฝ่ฝัน การอยากไปซื้อของที่เคยอยากได้ หรือการใช้ชีวิตที่หรูหราสุดขั้ว ก็คงจะทำได้ยากขึ้นในสภาวะเศรษฐกิจแบบประเทศไทยวันนี้ที่ต้องดิ้นรนกันอยู่ การมีชีวิตอยู่และมีเงินใช้ก็น่าจะทำกันย่อมเยาไป <!----><!----><!----><!----></p>
<p class="query-text-line ng-star-inserted">ถ้าพูดถึงพื้นฐานของมนุษย์ชีวิตจาก “ยีน” แล้ว ความสุขที่แท้จริงของมนุษย์นั้นก็คือการทำงานหาอาหาร ที่อยู่อาศัย และปัจจัยต่าง ๆ ที่จำเป็นในชีวิต เพื่อที่จะ “เอาตัวรอด” ซึ่งในสมัยนี้ก็คือการ “หาเงิน” ซึ่งหลัก ๆ ก็คือ “การทำงาน” แต่เมื่อทำงานและเครียด ก็ต้องพักผ่อนหาความรื่นรมย์ ดังนั้น ชีวิตที่เต็มสมดุลความสุขก็คือ ทำงาน พักผ่อน และหาความรื่นรมย์ ในอัตราที่เหมาะสมสำหรับแต่ละคน การ “เกษียณ” นั้น เป็นวิถีชีวิตที่เพิ่งเกิดขึ้นแต่ไม่กี่ร้อยปี สมัยผมยังเป็นเด็กเล็กนั้น พูดตามตรง ครอบครัวและตัวผมเองไม่เคยมีคำว่าเกษียณ การหยุดทำงานก็เพราะว่า ทำไม่ไหว และมันก็คือความป่วยกายและใกล้ตาย <!----><!----></p>
<p class="query-text-line ng-star-inserted">ดังนั้นคำว่า “บังคับ” ให้เกษียณก่อนกำหนด เราควรจะคิดว่าเรา “ตกงาน” และต้องหางานใหม่ อาจจะล้มเหลวในการสร้างเงินเดือนหรือรายได้จากงานที่เคยมีมาก่อนก็ได้ อาจจะเป็นการ “เกษียณ” ที่ไม่เต็มใจ และถ้าจะต้องมีการเกษียณก่อนกำหนดเพราะการถูกเลิกจ้างหรือถูก AI แย่งงานไป ก็คงจะไม่ใช่เรื่องที่ควรจะเจ็บปวดเท่าไร แต่ความจริงคือการทำงานก็ทำเพราะเราต้องการเงินเพื่อเลี้ยงชีพในแต่ละวัน ซึ่งในยุคนี้ เราก็อาจจะหาได้ไม่ยากนัก เหมือนสมัยโบราณก็มีคือ ถ้าเราเลิก “ตกงาน” จาก AI เราก็อาจจะต้องศึกษาวิชาการเขียนโปรแกรมและใช้ AI เปลี่ยนชีวิตเราได้ไหม? <!----><!----><!----><!----></p>
<p class="query-text-line ng-star-inserted">ทั้งหมดนี้ก็จะสามารถพูดได้ว่าผมก็เคย “โชคดี” ที่ต้องตกงานในช่วงอายุ 45 ปี <!----><!----></p>
<p class="query-text-line ng-star-inserted">ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร</p>
<p> </p>
<p>เป็นอย่างไรบ้างครับ... เรื่องเล่าจากสนามรบจริง มันต่างจากแผนการที่สวยหรูในตำราอย่างสิ้นเชิงใช่ไหมครับ</p>
<p>บทความของ ดร.นิเวศน์ ไม่ใช่แค่การเตือนสติ แต่คือการมอบภูมิคุ้มกันทางความคิดที่ดีที่สุดให้กับเรา และถ้าจะให้ผมสกัดบทเรียนที่ทรงพลังที่สุดออกมา ผมขอเลือก 2 ข้อนี้ครับ</p>
<ul style="list-style-type: square;">
<li><span style="color: rgb(0, 86, 173); font-size: 14pt;"><strong>หนึ่ง... คือการ "เรียกชื่อสิ่งต่างๆ ให้ถูกต้อง"</strong></span> <br>บทเรียนข้อแรกและข้อที่สำคัญที่สุดคือการเลิกหลอกตัวเอง "เกษียณก่อนกำหนด" ที่บริษัทมอบให้ มันอาจมีชื่อจริงว่า <strong>"การตกงาน"</strong> และ "เงินเดือน" ที่เราได้รับทุกสิ้นเดือน มันไม่ใช่ "เงินออมเพื่ออนาคต" แต่มันคือ <strong>"เงินสำหรับใช้วันนี้"</strong> การยอมรับความจริงสองข้อนี้ คือจุดเริ่มต้นของการวางแผนชีวิตที่แท้จริง<br><br></li>
<li><span style="color: rgb(0, 86, 173); font-size: 14pt;"><strong>สอง... คือ "เส้นทางสู่ความมั่งคั่งที่แท้จริง ไม่ใช่ทางลัด"</strong></span> <br>ดร.นิเวศน์ ชี้ให้เห็นว่าความฝันแบบ "ผมทำได้ คุณก็ทำได้" ของนักสร้างแรงบันดาลใจ มันเป็นเรื่องเพ้อฝันสำหรับคนส่วนใหญ่ เส้นทางของท่านไม่ได้เกิดจากการเสี่ยงโชค แต่เกิดจากการ <strong>"ลงทุนในความรู้"</strong> หลังวิกฤต ท่านกลับไปเรียนรู้ สร้างความเข้าใจ และค่อยๆ สร้างมันขึ้นมาด้วยตัวเองอย่างช้าๆ แต่ยั่งยืน นี่คือความแตกต่างระหว่าง "ความหวัง" กับ "ความจริง"<br><br></li>
</ul>
<p>สุดท้ายแล้ว เรื่องราวของ ดร.นิเวศน์ สอนเราว่าวันที่เลวร้ายที่สุด อาจกลายเป็นวันที่ดีที่สุดได้</p>
<p>คำถามสุดท้ายจึงไม่ใช่ "เราจะโดนไล่ออกตอนอายุ 45 ไหม?" แต่คือ...</p>
<p><span style="color: rgb(224, 62, 45); font-size: 14pt;"><strong>"ถ้าวันนั้นมาถึง เราได้ลงทุนใน 'ความรู้' มากพอที่จะเปลี่ยนวิกฤตให้เป็น 'โชคดีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต' แล้วหรือยัง ?"</strong></span></p>
<p>เพราะสุดท้ายแล้ว... 'ความมั่นคง' ที่แท้จริง อาจไม่ใช่การมี 'งาน' แต่คือการมี 'ความรู้' ที่จะเปลี่ยนทุกวิกฤตให้เป็นโอกาสได้เสมอ</p>
<p>สำหรับวันนี้ Mister J ลาไปก่อน สวัสดีครับ</p>